โพสข้อความเทิดทูน กรมทหารช่างที่ ๓
กรมทหารช่างที่ ๓ |
|
กฝศ.นรด. |
“...ในหลักการการกีฬาเป็นสิ่งที่มีจุดประสงค์พื้นฐานเพื่อที่จะส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรง และสามารถที่จะแสดงฝีมือในเชิงกีฬาเพื่อความสามัคคีและเพื่อให้คุณภาพของมนุษย์ดีขึ้นมา เวลานี้การกีฬาก็นับว่ามีความสำคัญในทางอื่นด้วย คือในทางสังคมทำให้คนในประเทศชาติได้หันมาปฏิบัติสิ่งที่เป็นประโยชน์ในทางสุขภาพของร่างกายและของจิตใจทำให้สามารถที่จะอยู่เป็นสังคมอย่างอยู่เย็นเป็นสุข ทั้งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเจริญของบ้านเมือง และโดยเฉพาะในการกีฬาระหว่างประเทศก็ได้เพิ่มความสำคัญกับมนุษย์อื่น ซึ่งอยู่ในประเทศอื่น ฉะนั้นกีฬามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิตของแต่ละคน และชีวิตของบ้านเมือง ถ้าปฏิบัติกีฬาอย่างถูกต้องหมายถึงว่าอย่างมีประสิทธิภาพ มีความสามารถก็จะได้นำชื่อเสียงแก่ตนและแก่ประเทศชาติ ถ้าปฏิบัติกีฬาด้วยความเรียบร้อย ด้วยความสุขภาพก็ทำให้มีชื่อเสียงเหมือนกันและจะส่งเสริมความสามัคคีในประเทศชาติ...” (พระบรมราโชวาท พระราชทานเนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2531) |
กฝศ.นรด. |
“...การทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองนั้นมีวิธีทำได้หลาย ๆ อย่าง อย่างหนึ่งก็ที่สำคัญที่สุดและที่เป็นธรรมดาที่สุดก็คือ “ต้องทำงาน” ทำงานตามหน้าที่ของตน ตามที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดให้ได้ผลที่สุด งานอีกอย่างซึ่งอาจไม่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษจากทางราชการหรือหน้าที่ แต่ต้องนับว่าเป็นงานหรือเป็นการกระทำที่ต้องทำก็มี คือ งานในฐานะที่เป็นคนที่อาศัยผืนแผ่นดินไทย ทุกคนที่เป็นคนไทยควรจะต้องพยายามปฏิบัติการทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้บ้านเมืองมีความเรียบร้อย มีความสงบ ถ้าแต่ละคนได้ทำแล้ว บ้านเมืองก็จะยืนยงอยู่ได้ แต่ถ้าผู้ใดมิได้ทำ ก็เป็นผู้ที่ได้ทำลายที่อยู่ของตนซึ่งตามธรรมดาเขาเรียกว่าเป็นคนทรยศต่อประเทศชาติ...” (พระราชดำรัส พระราชทานในงานราชอุทยานสโมสร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ สวนศิวาลัย วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2512) |
กฝศ.นรด. |
“...มีคุณธรรมข้อหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งท่านต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดอยู่เสมอ คือ ความสัตย์สุจริตประเทศบ้านเมืองจะวัฒนาถาวรอยู่ได้ ก็ย่อมอาศัยความสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐาน ท่านทั้งหลายจะออกไปรับราชการก็ดี หรือประกอบกิจการงานส่วนตัวก็ดี ขอให้มั่นอยู่ในคุณธรรมทั้ง 3 ประการ คือ สุจริตต่อบ้านเมือง สุจริตต่อประชาชน และสุจริตต่อหน้าที่ ท่านจึงจะเป็นผู้ที่ควรแก่การสรรเสริญของมวลชนทั่วไป...” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 12 มิถุนายน 2497) |
กฝศ.นรด. |
“....ในการปฏิบัติราชการนั้น ขอให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อย่านึกถึงบำเหน็จรางวัลหรือผลประโยชน์ให้มาก ขอให้ถือว่าการทำหน้าที่ได้สมบูรณ์เป็นทั้งรางวัลและประโยชน์อย่างประเสริฐ จะทำให้บ้านเมืองไทยของเราอยู่เย็นเป็นสุขและมั่นคง...” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2533 พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2533) |
กฝศ.นรด. |
“...ถ้าเราทำกรรมดี ทำต่อไป อย่าไปท้อใจ ถึงทำดีเท่าไร ๆ ไม่เห็นได้อะไรเลย หารู้ไม่ว่าต่อไปนะ ไม่แน่ บางที ภายในวินาทีเดียวก็ได้แล้ว...” (พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะชาวพุทธ แขวงห้วยขวาง เขตพญาไท ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2518) |
กฝศ.นรด. |
“...ท่านทั้งหลายคงจะรู้จักนิทานเรื่อง “กระต่ายแข่งกับเต่า” กระต่ายมีฝีเท้าดี ทะนงตนว่าไม่มีผู้ใดวิ่งเร็วเสมอเหมือน ยิ่งเต่าก็เป็นคนละชั้น แต่ความที่ทะนงตัวว่าตัวเองเก่ง วิ่งไปยังไม่ทันถึงที่หมาย ไปนอนหลับเสีย ปล่อยเต่าซึ่งเดินช้ากว่ามากไปถึงที่หมายก่อน...” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ.2505) |
กฝศ.นรด. |
“...ในการช่วยเหลือนั้น ควรยึดหลักสำคัญว่าเราจะช่วยเขา เพื่อให้เขาสามารถช่วยตนเองได้ต่อไป...” (พระราชดำรัส ในพิธีเปิดการประชุมการสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ ครั้งที่ 5 ณ ห้องประชุมศาลาสันติธรรม วันอาทิตย์ที่ 6เมษายน พ.ศ.2512) |
พลฯชลันธร ณ เชียงให |
พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บ้านเมืองของเรากำลังต้องการการปรับปรุงและการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ ทางที่เราจะช่วยกันได้ ก็คือ การที่ทำความคิดให้ถูกและแน่วแน่ ในอันที่จะยึดถือประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่หมาย ต้องเพลาการคิดถึงประโยชน์เฉพาะตัว และความขัดแย้งกันในสิ่งที่มิใช่สาระลง (พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2543) |
พลฯชลันธร ณ เชียงให |
พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความเจริญของประเทศชาติ เป็นความเจริญส่วนรวม ซึ่งเกิดจากผลงานหรือผลของการกระทำของคนทั้งชาติ ถือได้ว่าทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำประโยชน์ให้แก่ชาติ ตามความถนัดและความสามารถ และเกื้อกูลกันและกัน ไม่มีผู้ใดจะอยู่ได้และทำงานให้แก่ประเทศชาติได้โดยลำพังตนเอง (ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 10 กรกฎาคม 2513) |
พลฯนิวัฒน์ ตุ้มพลอย |
พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความเจริญของประเทศชาติ เป็นความเจริญส่วนรวม ซึ่งเกิดจากผลงานหรือผลของการกระทำของคนทั้งชาติ ถือได้ว่าทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำประโยชน์ให้แก่ชาติ ตามความถนัดและความสามารถ และเกื้อกูลกันและกัน ไม่มีผู้ใดจะอยู่ได้และทำงานให้แก่ประเทศชาติได้โดยลำพังตนเอง (ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 10 กรกฎาคม 2513) |
พลฯนิวัฒน์ ตุ้มพลอย |
ถ้าไม่มีเศรษฐกิจพอเพียง เวลาไฟดับ... จะพังหมด จะทำอย่างไร ที่ที่ต้องใช้ไฟฟากต้องแย่ไป ...หากมีเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่ ถ้าเรามีเครื่องปั่นไฟ ก็ใช้ปั่นไฟ หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืดก็จุดเทียน คือมีทางที่จะแก้ปัญหาเสมอ ...ฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ก็มีเป็นขั้น ๆ แต่จะบอกวาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ให้พอเพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซนต์ นี่เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ...พอเพียงในทฤษฎีหลวงนี้ คือ ให้สามารถที่จะดำเนินงานได้ |
พลฯนิวัฒน์ ตุ้มพลอย |
พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คุณธรรม 4 ประการ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ประกอบด้วย ประการแรก คือการรักษาความสัจ ความจริงใจต่อตัวเอง รู้จักสละประโยชน์ ส่วนน้อยของตนเพื่อประโยชน์ ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง ประพฤติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ และเป็นธรรม ประการที่สอง คือการรู้จักข่มใจตนเอง ฝึกใจตนเอง ให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในความสัจ ความดี ประการที่สาม คือการอดทน อดกลั้น และอดออม ไม่ประพฤติล่วงความสัจสุจริต ไม่วาจะด้วยเหตุประการใด ประการที่สี่ คือการรู้จักละวางความชั่ว ความทุจริต คุณธรรม 4 ประการนี้ ถ้าแต่ละคนพยายามปลูกฝังและบำรุงให้เจริญงอกงามขึ้นโดยทั่วกันแล้ว จะช่วยให้ประเทศชาติบังเกิดความสุข ความร่มเย็น และมีโอกาสที่จะปรับปรุงพัฒนาให้มั่นคงก้าวหน้าต่อไปได้ดังประสงค์ |
พลฯนิวัฒน์ ตุ้มพลอย |
พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หนังสือเป็นเสมือนคลังที่รวบรวมเรื่องราว ความรู้ ความคิด วิทยาการทุกด้านทุกอย่าง ซึ่งมนุษย์ได้เรียนรู้ ได้คิดอ่าน และเพียรพยายามบนทุกภาษาไว้ด้วยลายลักษณ์อักษร หนังสือแพร่ไปถึงที่ใด ความรู้ความคิดก็แพร่ไปถึงที่นั่น หนังสือจึงเป็นสิ่งมีค่าและมีประโยชน์ ที่จะประมาณมิได้ในแง่ที่เป็นบ่อเกิดการเรียนรู้ของมนุษย์
|
พลฯ กฤษดา ดิษบรรจง |
พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วิถีทางดำเนินของบ้านเมืองและประชาชนโดยทั่วไป มีความเปลี่ยนแปลงมาตลอดเนื่องจาก ความวิปริตผันแปรของวิถีแห่งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และอื่นๆ ของโลก ยากยิ่งที่เราจะหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ จึงต้องระมัดระวัง ประคับประคองตัวเรามากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการเป็นอยู่ โดยประหยัดเพื่อที่จะอยู่ ให้รอดและก้าวหน้าต่อไปได้โดยสวัสดี (เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธ.ค.2521) |
พลฯนิวัฒน์ ตุ้มพลอย |
พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สามัคคี คือการเห็นแก่บ้านเมือง และช่วยกันทุกวิธีทาง เพื่อที่จะสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็งด้วยการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างตรงไปตรงมา นึกถึงประโยชน์ ส่วนรวม เพราะประโยชน์ ส่วนรวมนั้นคือความมั่นคงของบ้านเมือง (พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีประดับยศนายตำรวจชั้นนายพล 15 มกราคม 2519) |
พลฯ กฤษดา ดิษบรรจง |
พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง และครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ที่ ประหยัดเท่านั้น ยงเป็นประโยชน์ แก่ประเทศชาติด้วย (เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธ.ค.2502) |
พลฯนิวัฒน์ ตุ้มพลอย |
พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว งานด้านการศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมนั้น คืองานสร้างสรรค์ความเจริญทางปัญญาและทางจิตใจ ซึ่งเป็นต้นเหตุทั้งองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ของความเจริญด้านอื่นๆทั้งหมด และเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้เรารักษา และดำรงความเป็นไทยไว้ได้สืบไป (พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศิลปากร 12 ตุลาคม 2513) |
พลฯนิวัฒน์ ตุ้มพลอย |
พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การสร้างงานศิลปทุกประเภท นอกจากจะต้องใช้ความฝึกหัดชัดเจนในทางปฏิบัติ ประกอบกับวิธีการที่ดีอย่างเหมาะสมแล้ว ศิลปินจำต้องมีความจริงใจและความบริสุทธิ์ใจในงานที่ทำด้วย จึงจะได้ผลงานที่มีค่าควรแก่การยอมรับนับถือ (พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีเปิดการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 21 8 กันยายน 2515) |
พลฯนิวัฒน์ ตุ้มพลอย |
พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้หนักแน่นในสัจจะ พูดอย่างไรทำอย่างนั้น จึงจะได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธา เชื่อถือ และความยกย่องสรรเสริญจากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือพูดจริงทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด (พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 10 กรกฎาคม 2540) |
พลฯนิวัฒน์ ตุ้มพลอย |
พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สัจวาจา นั้นเป็นรากฐานของการทำงาน หรือการดำรงชีวิตที่ดีที่งามที่มีความก้าวหน้ามีความสำเร็จ สัจ เป็นการตั้งใจ ตั้งจิตใจ วาจาเป็นคำพูดออกมา แสดงถึงคำพูดนั้นต้องออกมาจากใจ คือเป็นการตั้งใจที่จะทำอะไรเพื่อความสำเร็จในงานนั้น (พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่ผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรมเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ 18 มีนาคม 2525) |